http://www.4shared.com/file/_duqazJi/Game__100__-_M53_41.html
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
งานนั่งโต๊ะ เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก
รายงานผลวิจัยจาก British Journal of Cancer ที่ทำการศึกษากับผู้ชาย
45,000 คน ซึ่งมีอายุ 45-79 ปี พบว่า.. ผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะทั้งวัน มีความเสี่ยง
เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มากกว่าผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะทั้งวันครึ่งวัน 20%
และผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะนั้น มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มากกว่าผู้ชาย
ที่ไม่ได้ทำงานนั่งโต๊ะถึง 28%
รูปแบบของการออกกำลังกายนั้นก็มีผล โดยผู้ชายที่เดิน หรือปั่นจักรยาน
น้อยกว่า 40 นาทีต่อวัน มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าผู้ชายที่เดิน
หรือปั่นจักรยานน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวันอยู่ 14%
แต่ไม่แน่นอนเสมอไปที่การออกกำลังจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ เนื่องจากนักวิจัย
จากสถาบัน Karolinska ในสวีเดน สันนิษฐานว่าเป็นเพราะระดับฮอร์โมนเพศชาย
ที่หลั่งออกมา งานวิจัยก่อนหน้านี้บางชิ้น ก็พบว่า การทานผักผลไม้นั้น
ช่วยลดความเสี่ยงของโรคได้
ดังนั้น การลดความเสี่ยงมะเร็งต่อลูกหมาก ที่ Dr. Helen Rippon จากองค์กร
การกุศลเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมากแนะนำ คือ ไม่นั่งทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน
เดิน หรือขี่จักรยาน (ออกกำลังกาย) หรือขยับตัวไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาอย่างเอาเป็นเอาตายในโรงยิม จะเป็นผลดีต่อร่างกายแน่นอน
ที่มา : Desk jobs could raise the risk of prostate cancer
45,000 คน ซึ่งมีอายุ 45-79 ปี พบว่า.. ผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะทั้งวัน มีความเสี่ยง
เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มากกว่าผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะทั้งวันครึ่งวัน 20%
และผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะนั้น มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มากกว่าผู้ชาย
ที่ไม่ได้ทำงานนั่งโต๊ะถึง 28%
รูปแบบของการออกกำลังกายนั้นก็มีผล โดยผู้ชายที่เดิน หรือปั่นจักรยาน
น้อยกว่า 40 นาทีต่อวัน มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าผู้ชายที่เดิน
หรือปั่นจักรยานน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวันอยู่ 14%
แต่ไม่แน่นอนเสมอไปที่การออกกำลังจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ เนื่องจากนักวิจัย
จากสถาบัน Karolinska ในสวีเดน สันนิษฐานว่าเป็นเพราะระดับฮอร์โมนเพศชาย
ที่หลั่งออกมา งานวิจัยก่อนหน้านี้บางชิ้น ก็พบว่า การทานผักผลไม้นั้น
ช่วยลดความเสี่ยงของโรคได้
ดังนั้น การลดความเสี่ยงมะเร็งต่อลูกหมาก ที่ Dr. Helen Rippon จากองค์กร
การกุศลเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมากแนะนำ คือ ไม่นั่งทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน
เดิน หรือขี่จักรยาน (ออกกำลังกาย) หรือขยับตัวไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาอย่างเอาเป็นเอาตายในโรงยิม จะเป็นผลดีต่อร่างกายแน่นอน
ตู้เย็นคนยาก ประหยัดด้วยหลักฟิสิกส์
Mohammed Bah Abba คุณครูสอนวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งในไนจีเรีย แอฟริกา
ได้รับรางวัลนวัตกรรมโลว์เทค จากโรเล็กซ์ จากผลงาน pot-in-pot ในที่นี้ขอเรียกว่า
ตู้เย็นคนยาก สาเหตุมาจากการที่นักเรียนขาดเรียนบ่อยๆ เพื่อไปช่วยพ่อแม่ขายผลิตผล
จากพืชในตลาดให้ทัน ก่อนที่ผลไม้สุกที่ตัดแล้ว จะเน่าเสียตามสภาพภูมิอากาศร้อน
ตู้เย็นของคุณครูทำจากตุ่มดินเผาสองใบ ใบใหญ่ใส่ทรายรองก้น วางตุ่มใบเล็กลงไป
ในใบใหญ่ ใส่ทรายในช่องว่างระหว่างตุ่มสองใบ จากนั้นเทน้ำลงไปในทราย
ให้ทรายชุ่มน้ำ แล้วนำผ้าชุบน้ำมาปิดฝาตุ่ม ก็จะได้ตู้เย็นคนยาก สามารถเก็บผัก
ผลไม้ได้นานกว่าเดิม ด้วยการเก็บลงไปในตุ่มใบเล็ก ซึ่งสามารถเก็บได้นาน
กว่า 4 สัปดาห์
จากการที่ทรายทำหน้าที่เก็บความเย็นให้ตุ่มใบเล็ก
และเก็บน้ำให้ตุ่มใบใหญ่ เมื่อน้ำระเหยออกจาก
ผิวของตุ่มใบใหญ่ จะนำพาความร้อนออกไป
และทำให้อุณหภูมิของตุ่มใบเล็กเย็นระดับน้องๆ
ตู้เย็นเลยทีเดียว ใช้หลักฟิสิกส์เรื่องความร้อนแฝง
ของการเปลี่ยนเฟสจากของเหลวเป็นไอ
ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม
ที่มา : เรื่อง ตู้เย็นคนยาก โดย ดร. พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ หนังสือ วิทยาศาสตร์
สำหรับเยาวชน นานาสาระ (๑) โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
แห่งประเทศไทย (วท.), Ancient technology preserves food, A "Desert Refrigerator" Improves Lives in Nigeria
ได้รับรางวัลนวัตกรรมโลว์เทค จากโรเล็กซ์ จากผลงาน pot-in-pot ในที่นี้ขอเรียกว่า
ตู้เย็นคนยาก สาเหตุมาจากการที่นักเรียนขาดเรียนบ่อยๆ เพื่อไปช่วยพ่อแม่ขายผลิตผล
จากพืชในตลาดให้ทัน ก่อนที่ผลไม้สุกที่ตัดแล้ว จะเน่าเสียตามสภาพภูมิอากาศร้อน
ตู้เย็นของคุณครูทำจากตุ่มดินเผาสองใบ ใบใหญ่ใส่ทรายรองก้น วางตุ่มใบเล็กลงไป
ในใบใหญ่ ใส่ทรายในช่องว่างระหว่างตุ่มสองใบ จากนั้นเทน้ำลงไปในทราย
ให้ทรายชุ่มน้ำ แล้วนำผ้าชุบน้ำมาปิดฝาตุ่ม ก็จะได้ตู้เย็นคนยาก สามารถเก็บผัก
ผลไม้ได้นานกว่าเดิม ด้วยการเก็บลงไปในตุ่มใบเล็ก ซึ่งสามารถเก็บได้นาน
กว่า 4 สัปดาห์
จากการที่ทรายทำหน้าที่เก็บความเย็นให้ตุ่มใบเล็ก
และเก็บน้ำให้ตุ่มใบใหญ่ เมื่อน้ำระเหยออกจาก
ผิวของตุ่มใบใหญ่ จะนำพาความร้อนออกไป
และทำให้อุณหภูมิของตุ่มใบเล็กเย็นระดับน้องๆ
ตู้เย็นเลยทีเดียว ใช้หลักฟิสิกส์เรื่องความร้อนแฝง
ของการเปลี่ยนเฟสจากของเหลวเป็นไอ
ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม
ที่มา : เรื่อง ตู้เย็นคนยาก โดย ดร. พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ หนังสือ วิทยาศาสตร์
สำหรับเยาวชน นานาสาระ (๑) โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
แห่งประเทศไทย (วท.), Ancient technology preserves food, A "Desert Refrigerator" Improves Lives in Nigeria
น้ำยาล้างผักสูตรทำเองง่ายๆ
การขนส่งผักกว่าจะถึงมือผู้ซื้อ แน่ใจได้อย่างไรว่าสะอาด ปลอดภัย และปราศจาก
สารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การใช้น้ำยาล้างผัก สามารถลดสารพิษในผักได้มากกว่าการล้างด้วยน้ำเปล่า จะซื้อหามาใช้งาน หรือต้องการประหยัดด้วยการทำเอง ก็มีสูตรน้ำยาล้างผักที่สามารถ
ทำเองได้ง่ายๆ มาแนะนำ 3 สูตร ดังนี้
1. สูตรน้ำส้มสายชู (ลดสารพิษได้ถึง 90-95%)
นำน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาดหรือน้ำประปาธรรมดา 15-20 ลิตร
แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง
2. สูตรน้ำเกลือ (ลดสารพิษได้ถึง 60-70%)
นำเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 4-5 ลิตร
แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง
3. สูตรน้ำโซเดียมไบคาร์บอเนต (ลดสารพิษได้ถึง 90-95%)
นำโซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 20-25 ลิตร
แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง
การรับประทานผักมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรล้างก่อนรับประทาน เพราะ ช่วยให้
ผักสะอาด และลดสารพิษที่ปนเปื้อนมากับผักได้ ใส่ใจสักนิดเพื่อสุขภาพของตัวคุณ
ที่มา : หนังสือ สวยด้วยผัก โดย ดิฐลดา เพียงกูลย์
สารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การใช้น้ำยาล้างผัก สามารถลดสารพิษในผักได้มากกว่าการล้างด้วยน้ำเปล่า จะซื้อหามาใช้งาน หรือต้องการประหยัดด้วยการทำเอง ก็มีสูตรน้ำยาล้างผักที่สามารถ
ทำเองได้ง่ายๆ มาแนะนำ 3 สูตร ดังนี้
1. สูตรน้ำส้มสายชู (ลดสารพิษได้ถึง 90-95%)
นำน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาดหรือน้ำประปาธรรมดา 15-20 ลิตร
แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง
2. สูตรน้ำเกลือ (ลดสารพิษได้ถึง 60-70%)
นำเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 4-5 ลิตร
แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง
3. สูตรน้ำโซเดียมไบคาร์บอเนต (ลดสารพิษได้ถึง 90-95%)
นำโซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 20-25 ลิตร
แล้วนำผักมาแช่ทิ้งไว้ 15-20 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 3-4 ครั้ง
การรับประทานผักมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรล้างก่อนรับประทาน เพราะ ช่วยให้
ผักสะอาด และลดสารพิษที่ปนเปื้อนมากับผักได้ ใส่ใจสักนิดเพื่อสุขภาพของตัวคุณ
ที่มา : หนังสือ สวยด้วยผัก โดย ดิฐลดา เพียงกูลย์
ดูโทรทัศน์มาก อาจทำให้เสียชีวิตได้ง่าย
ผลวิจัยโดย David Dunstan นักวิจัยชาวออสเตรเลีย จากสถาบัน Baker IDI
Heart and Diabetes ในเมลเบิร์น (Melbourne) ที่สำรวจจากชายหญิง ที่มีสุขภาพดีอายุ 25 ปีขึ้นไป จำนวน 8,800 คน เป็นเวลา 6 ปี
พบว่า 80% ของผู้ที่ดูโทรทัศน์มากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน มีแนวโน้มเสียชีวิตHeart and Diabetes ในเมลเบิร์น (Melbourne) ที่สำรวจจากชายหญิง ที่มีสุขภาพดีอายุ 25 ปีขึ้นไป จำนวน 8,800 คน เป็นเวลา 6 ปี
ด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด มากกว่าผู้ที่ดูโทรทัศน์น้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน
และในการดูโทรทัศน์ที่เพิ่มขึ้นทุก 1 ชั่วโมง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต
ด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดถึง 18%
เนื่องจากการทำกิจกรรมที่นั่งเฉยๆ เช่น ดูโทรทัศน์นานๆ ทำให้พวกเราไม่ขยับตัว
เป็นเวลานาน ทำให้กระบวนการเผาผลาญในร่างกายช้าลง และส่งผลให้เกิดการ
เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
คำแนะนำสำหรับกรณีนี้ คือ หลีกเลี่ยงการการนั่งเป็นเวลานาน เปลี่ยนอิริยาบท
ขยับร่างกายในส่วนที่ไม่ค่อยได้ขยับบ้าง หรือในขณะชมโทรทัศน์ควร
ทำกิจกรรมอื่นที่ได้ขยับตัวบ้าง เช่น พับเสื้อผ้าที่ซักแล้ว หรือเปลี่ยนช่องโทรทัศน์
ด้วยการลุกเดินไปกดเองแทนการใช้รีโมท
ที่มา : นิตยสาร Lisa weekly ฉบับวันที่ 3 ก.พ. 2010, Extended TV watching linked to higher risk of death, Media CentreWatching TV Linked to Higher Risk of Death
ข้าวโพดสุกต้านมะเร็ง
ผลงานวิจัยในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกา ตีพิมพ์ผลงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ต้มสุกแล้ว จะมีฤทธิ์ในการล้างพิษภายในร่างกายได้สูงกว่าปกติ
ในข้าวโพดหวานตามธรรมชาติ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อยู่ และมีตัวที่สำคัญคือ กรดเฟรุลิก (Felrulic Acid) จึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้)
จากผลการวิจัยพบว่า การต้มข้าวโพดที่ 115 องศาเซลเซียส มีผลดังนี้
ทำให้สรุปได้ว่า ข้าวโพดหวานที่ผ่านการต้มหรือปิ้ง
มีปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ และกรดเฟรุลิก
ซึ่งมีประโยชน์สำหรับร่างกายเพิ่มมากขึ้น
เมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเป็นเวลานานขึ้นแต่จะสูญเสียวิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี ไปบ้าง
อย่างไรก็ตามข้าวโพดก็ไม่ใช่แหล่งที่ดีสำหรับ
วิตามินซีอยู่แล้ว
ที่มา : นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 6 เดือนกรกฎาคม 2550, http://www.redcross.or.th/pr/pr_news.php4?db=3&naid=490, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับ วันอังคารที่ 8 เมษายน 2546, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับ วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2545
ในข้าวโพดหวานตามธรรมชาติ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อยู่ และมีตัวที่สำคัญคือ กรดเฟรุลิก (Felrulic Acid) จึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้)
จากผลการวิจัยพบว่า การต้มข้าวโพดที่ 115 องศาเซลเซียส มีผลดังนี้
เวลาที่ใช้ในการต้ม | ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ | ปริมาณของกรดเฟรุลิก |
10 นาที | เพิ่มขึ้น 22% | เพิ่มขึ้น 240% |
25 นาที | เพิ่มขึ้น 44% | เพิ่มขึ้น 550% |
50 นาที | เพิ่มขึ้น 53% | เพิ่มขึ้น 900% |
มีปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ และกรดเฟรุลิก
ซึ่งมีประโยชน์สำหรับร่างกายเพิ่มมากขึ้น
เมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเป็นเวลานานขึ้นแต่จะสูญเสียวิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี ไปบ้าง
อย่างไรก็ตามข้าวโพดก็ไม่ใช่แหล่งที่ดีสำหรับ
วิตามินซีอยู่แล้ว
ที่มา : นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 6 เดือนกรกฎาคม 2550, http://www.redcross.or.th/pr/pr_news.php4?db=3&naid=490, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับ วันอังคารที่ 8 เมษายน 2546, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับ วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2545
ดื่มไวน์ป้องกันฟันผุ
เคยรู้กันว่าดื่มไวน์ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ แต่ข้อมูล
จากงานวิจัยของ ศ.กาเบรียลลา กาซซานี(Gabriella Gazzani)
มหาวิทยาลัยพาเวีย(University of Pavia) ประเทศอิตาลี ในวารสาร
American Journal of Agricultural and food Chemistry พบว่า
การดื่มไวน์ขาว หรือไวน์แดงวันละ 1 แก้วเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยง
ในการเกิดฟันผุ โรคเหงือก และช่วยรักษาอาการเจ็บคอ
เนื่องจากส่วนผสมในไวน์จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนตัวยับยั้งไมโครแบคทีเรีย
ประเภท Streptococci ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฟันผุ และแบคทีเรีย
ที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
ชื่อ S.pyogenes ที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ ซึ่งสามารถก่อให้เกิด
อาการเจ็บคอและเป็นไข้ได้
ที่มา : นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ 7
ฉบับที่ 81 ตุลาคม 2550, American Journal
of Agricultural and Food Chemistry
จากงานวิจัยของ ศ.กาเบรียลลา กาซซานี(Gabriella Gazzani)
มหาวิทยาลัยพาเวีย(University of Pavia) ประเทศอิตาลี ในวารสาร
American Journal of Agricultural and food Chemistry พบว่า
การดื่มไวน์ขาว หรือไวน์แดงวันละ 1 แก้วเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยง
ในการเกิดฟันผุ โรคเหงือก และช่วยรักษาอาการเจ็บคอ
เนื่องจากส่วนผสมในไวน์จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนตัวยับยั้งไมโครแบคทีเรีย
ประเภท Streptococci ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฟันผุ และแบคทีเรีย
ที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
ชื่อ S.pyogenes ที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ ซึ่งสามารถก่อให้เกิด
อาการเจ็บคอและเป็นไข้ได้
ที่มา : นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ 7
ฉบับที่ 81 ตุลาคม 2550, American Journal
of Agricultural and Food Chemistry
สหราชอาณาจักรกับอังกฤษ ต่างกันอย่างไร
ประเทศอังกฤษที่ชาวไทยรู้จัก มีชื่อเต็มว่า United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland แปลเป็นภาษาไทยว่า
"สหราชอาณาจักร บริเตนใหญ่ และไอร์แลนด์เหนือ" เรียกสั้นๆ ว่า United Kingdom หรือ UK แปลเป็นภาษาไทยว่า สหราชอาณาจักร
สหราชอาณาจักรประกอบด้วยดินแดน 4 ส่วนหรือแคว้น
- 3 ส่วนอยู่บนเกาะอังกฤษ คือ แคว้นอังกฤษหรืออิงแลนด์ แคว้นสกอตแลนด์
และแคว้นเวลส์
- 1 ส่วนอยู่บนเกาะไอร์แลนด์ คือ แคว้นไอร์แลนด์เหนือ
เหตุผลที่ผู้คนทั่วโลกเมื่อพูดถึงสหราชอาณาจักร มักจะใช้แต่คำว่าอังกฤษหรืออิงแลนด์
ผู้รู้ส่วนใหญ่อธิบายว่า..
อาจเป็นเพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์ คือ แคว้นอังกฤษ เป็นแคว้นใหญ่ที่สุด
และมีอิทธิพลครอบงำแคว้นอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร มาเป็นเวลานาน
เมื่อครั้งที่สหราชอาณาจักรเป็นเจ้าอาณานิคมทั่วโลก ผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่
และบรรดาพ่อค้า ก็มักจะเป็นคนจากแคว้นอังกฤษมากกว่าคนจากแคว้นอื่นๆ
จึงเป็นไปได้ว่าเมื่อมีคนถามว่า.."มาจากไหน"
ก็จะได้ยินคำตอบว่า.."มาจากอิงแลนด์หรืออังกฤษ"
คำว่า "อังกฤษ" จึงอาจกลายเป็นคำนามที่ใช้เรียกแทนสหราชอาณาจักร
นอกจากนี้สถานฑูตอังกฤษทั่วโลกจะใช้คำว่า British Embassy ไม่ได้ใช้คำว่า
UK Embassy เรื่องนี้ผู้รู้บอกว่า British เป็นคำคุณศัพท์ของ Britain ซึ่งเป็น
อีกคำหนึ่งที่ แปลว่า อังกฤษ เหมือนกัน ฉะนั้นการที่สถานฑูตอังกฤษจะใช้ว่า British Embassy จึงไม่น่าจะผิดอะไร
สำหรับคนต่างชาติ เวลาได้ยินหรือได้เห็นคำว่า
Britain หรือตัวย่อ GB เช่น จากกีฬาโอลิมปิก
โดยทั่วไปก็ตีความไปได้ทันทีว่า หมายถึง
สหราชอาณาจักรทั้งประเทศ
ซึ่งรวมถึงไอร์แลนด์เหนือด้วย
ที่มา : หนังสือ ถามข้ามฟ้าโดย ทีมงานวิทยุบีบีซีภาคภาษาไทย
"สหราชอาณาจักร บริเตนใหญ่ และไอร์แลนด์เหนือ" เรียกสั้นๆ ว่า United Kingdom หรือ UK แปลเป็นภาษาไทยว่า สหราชอาณาจักร
สหราชอาณาจักรประกอบด้วยดินแดน 4 ส่วนหรือแคว้น
- 3 ส่วนอยู่บนเกาะอังกฤษ คือ แคว้นอังกฤษหรืออิงแลนด์ แคว้นสกอตแลนด์
และแคว้นเวลส์
- 1 ส่วนอยู่บนเกาะไอร์แลนด์ คือ แคว้นไอร์แลนด์เหนือ
เหตุผลที่ผู้คนทั่วโลกเมื่อพูดถึงสหราชอาณาจักร มักจะใช้แต่คำว่าอังกฤษหรืออิงแลนด์
ผู้รู้ส่วนใหญ่อธิบายว่า..
อาจเป็นเพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์ คือ แคว้นอังกฤษ เป็นแคว้นใหญ่ที่สุด
และมีอิทธิพลครอบงำแคว้นอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร มาเป็นเวลานาน
เมื่อครั้งที่สหราชอาณาจักรเป็นเจ้าอาณานิคมทั่วโลก ผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่
และบรรดาพ่อค้า ก็มักจะเป็นคนจากแคว้นอังกฤษมากกว่าคนจากแคว้นอื่นๆ
จึงเป็นไปได้ว่าเมื่อมีคนถามว่า.."มาจากไหน"
ก็จะได้ยินคำตอบว่า.."มาจากอิงแลนด์หรืออังกฤษ"
คำว่า "อังกฤษ" จึงอาจกลายเป็นคำนามที่ใช้เรียกแทนสหราชอาณาจักร
นอกจากนี้สถานฑูตอังกฤษทั่วโลกจะใช้คำว่า British Embassy ไม่ได้ใช้คำว่า
UK Embassy เรื่องนี้ผู้รู้บอกว่า British เป็นคำคุณศัพท์ของ Britain ซึ่งเป็น
อีกคำหนึ่งที่ แปลว่า อังกฤษ เหมือนกัน ฉะนั้นการที่สถานฑูตอังกฤษจะใช้ว่า British Embassy จึงไม่น่าจะผิดอะไร
สำหรับคนต่างชาติ เวลาได้ยินหรือได้เห็นคำว่า
Britain หรือตัวย่อ GB เช่น จากกีฬาโอลิมปิก
โดยทั่วไปก็ตีความไปได้ทันทีว่า หมายถึง
สหราชอาณาจักรทั้งประเทศ
ซึ่งรวมถึงไอร์แลนด์เหนือด้วย
ที่มา : หนังสือ ถามข้ามฟ้าโดย ทีมงานวิทยุบีบีซีภาคภาษาไทย
น้ำมะเน็ด ในขวดแบบโบราณ
น้ำมะเน็ดเป็นน้ำอัดลมชนิดหนึ่งที่คนไทยเรียกเพี้ยนมาจากน้ำ Lemonade ของฝรั่ง
คำว่า Lemonade แปลว่าน้ำมะนาวก็จริง แต่น้ำมะเน็ดไม่ใช่น้ำมะนาวเปรี้ยวแท้ๆ
แต่เป็นน้ำมะนาวปลอมๆ ที่มีการแต่งรสแต่งสีแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับน้ำอัดลม
ในยุคปัจจุบันคงใกล้เคียงกับน้ำสไปรท์
ฝรั่งเริ่มผลิตน้ำมะเน็ดขายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แต่ต้องหลังจาก
จาคอบ ชเวพ (Jacob Schwepp) คิดทำน้ำโซดาได้เมื่อ พ.ศ. 2335
หรือเมื่อราว 200 ปีก่อน
สำหรับในเมืองไทยนั้นพบโฆษณาขายน้ำมะเน็ดในหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์
ของหมอบรัดเลย์ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ.1866 โดยน้ำมะเน็ดในสมัยก่อน
จะบรรจุอยู่ในชวดรีๆ แบบลูกรักบี้ และปิดปากขวดด้วยจุกไม้ก๊อก เขาออกแบบขวด
ให้วางนอนขนานกับพื้นอยู่เสมอเพื่อไม่ให้จุกก๊อกแห้งและหด อ้างอิงตามรูปในหนังสือ
The Art of the Label ของ Robert Opie ยอดนักสะสมบรรจุภัณฑ์ หน้า 10
กับหน้า 65
จนเมื่อ ค.ศ. 1875 หรือ พ.ศ. 2418 ตรงกับต้นสมัยรัชกาลที่ 5 มีการประดิษฐ์ขวด
แบบคอคอด และมีจุกลูกแก้วอยู่ที่ปากขวดโดย Hirem Codd จึงมีการบรรจุ
น้ำมะเน็ด รวมทั้งน้ำโซดา และน้ำอัดลมอื่นๆ ลงในขวดชนิดนี้ ในการบรรจุต้อง
จับหัวขวดให้คว่ำลง เมื่อน้ำอัดลมเข้าไปในขวดแล้ว แรงแก๊สจะดันลูกแก้วให้ลอยขึ้น
ไปแนบและแน่นติดกับวงแหวนยางที่ปากขวด เมื่อจะดื่มต้องเอาไม้กระแทกลูกแก้ว
ลงไปแรงๆ ส่วนวิธีรินไม่ให้ลูกแก้วกลิ้งมาปิดปากขวด คือ ต้องหมุนขวดให้ลูกแก้ว
ไปตกอยู่ระหว่างคอหยักที่เขาทำไว้
จึงจะรินน้ำได้สะดวก
น้ำมะเน็ดเคยมีขายตามโรงหนัง
และตามร้านต่างๆ อยู่นานพอสมควร
แต่ในที่สุดก็หายไปจากเมืองไทย
เมื่อราว 50-60 ปีก่อน
ที่มา: หนังสือ สารพัดเก็บ Collectable Variety โดย เอนก นาวิกมูล
คำว่า Lemonade แปลว่าน้ำมะนาวก็จริง แต่น้ำมะเน็ดไม่ใช่น้ำมะนาวเปรี้ยวแท้ๆ
แต่เป็นน้ำมะนาวปลอมๆ ที่มีการแต่งรสแต่งสีแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับน้ำอัดลม
ในยุคปัจจุบันคงใกล้เคียงกับน้ำสไปรท์
ฝรั่งเริ่มผลิตน้ำมะเน็ดขายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แต่ต้องหลังจาก
จาคอบ ชเวพ (Jacob Schwepp) คิดทำน้ำโซดาได้เมื่อ พ.ศ. 2335
หรือเมื่อราว 200 ปีก่อน
สำหรับในเมืองไทยนั้นพบโฆษณาขายน้ำมะเน็ดในหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์
ของหมอบรัดเลย์ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ.1866 โดยน้ำมะเน็ดในสมัยก่อน
จะบรรจุอยู่ในชวดรีๆ แบบลูกรักบี้ และปิดปากขวดด้วยจุกไม้ก๊อก เขาออกแบบขวด
ให้วางนอนขนานกับพื้นอยู่เสมอเพื่อไม่ให้จุกก๊อกแห้งและหด อ้างอิงตามรูปในหนังสือ
The Art of the Label ของ Robert Opie ยอดนักสะสมบรรจุภัณฑ์ หน้า 10
กับหน้า 65
จนเมื่อ ค.ศ. 1875 หรือ พ.ศ. 2418 ตรงกับต้นสมัยรัชกาลที่ 5 มีการประดิษฐ์ขวด
แบบคอคอด และมีจุกลูกแก้วอยู่ที่ปากขวดโดย Hirem Codd จึงมีการบรรจุ
น้ำมะเน็ด รวมทั้งน้ำโซดา และน้ำอัดลมอื่นๆ ลงในขวดชนิดนี้ ในการบรรจุต้อง
จับหัวขวดให้คว่ำลง เมื่อน้ำอัดลมเข้าไปในขวดแล้ว แรงแก๊สจะดันลูกแก้วให้ลอยขึ้น
ไปแนบและแน่นติดกับวงแหวนยางที่ปากขวด เมื่อจะดื่มต้องเอาไม้กระแทกลูกแก้ว
ลงไปแรงๆ ส่วนวิธีรินไม่ให้ลูกแก้วกลิ้งมาปิดปากขวด คือ ต้องหมุนขวดให้ลูกแก้ว
ไปตกอยู่ระหว่างคอหยักที่เขาทำไว้
จึงจะรินน้ำได้สะดวก
น้ำมะเน็ดเคยมีขายตามโรงหนัง
และตามร้านต่างๆ อยู่นานพอสมควร
แต่ในที่สุดก็หายไปจากเมืองไทย
เมื่อราว 50-60 ปีก่อน
ที่มา: หนังสือ สารพัดเก็บ Collectable Variety โดย เอนก นาวิกมูล
บรั่นดี (brandy) คืออะไร
"บรั่นดี (brandy)" นั้น มาจากคำว่า "brandewijn" ซึ่งเป็นภาษาดัตช์ (Dutch)
แปลว่า "burnt wine" ซึ่งหมายถึงการให้ความร้อนแก่เหล้าองุ่นเพื่อกลั่น ดังนั้น
บรั่นดีจึงเป็นสุราชนิดแรงที่กลั่นจากเหล้าองุ่น แต่ถ้าเป็นชนิดที่กลั่นจากน้ำผลไม้อื่นๆ
หลังจากการหมักแล้วก็เรียกว่า บรั่นดีผลไม้ (fruit brandy) เช่น apple brandy
ทำจากแอปเปิ้ล peach brandy ทำจากพีช เป็นต้น
คุณภาพของบรั่นดีขึ้นอยู่กับ คุณภาพของเหล้าองุ่นที่นำมากลั่น, กรรมวิธี
ที่ใช้ในการกลั่น, และที่สำคัญที่สุดก็คือการเลือกชนิดไม้ที่ใช้ทำถังเพื่อเก็บบ่มบรั่นดี
หลังจากกลั่นแล้ว ซึ่งการเก็บบ่มสุราไว้ในถังไม้ที่เหมาะสมเป็นเวลานานปี จะเป็นการ
ทำลายสารพิษต่างๆ เช่น fusel oils ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกรรมวิธีการผลิตและเจือปน
อยู่ในสุราให้หมดไปอีกด้วย
บรั่นดีที่นิยมกันว่าเป็นชนิดที่ดีที่สุด คือ บรั่นดีที่ผลิตจากเมืองคอนยัก
(Cognac) และเมืองอาร์มายัก (Armagnac) ประเทศฝรั่งเศส และ
เรียกชื่อบรั่นดีนี้ตามชื่อเมือง บรั่นดีทั้ง 2 ชนิดนี้ผู้ผลิตจะเก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก
เป็นเวลาหลายๆ ปี ส่งผลให้สารแทนนินส์ (tannins) ที่มีอยู่ในเนื้อไม้
ละลายลงไปในบรั่นดีทำให้มีสีเหลืองอำพัน และทำให้มีกลิ่นหอม สำหรับบรั่นดี
ที่มีคุณภาพต่ำนั้น ผู้ผลิตจะเติมสารคาโรเมล (caromel) ลงไป
เพื่อทำให้บรั่นดีมีสีเหลือง และเติมวานิลลา (vanilla) ลงไปเพื่อปรุงกลิ่น
สำหรับบรั่นดีที่เก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก ซึ่งฉาบผิวด้วยขี้ผึ้งพาราฟิน (paraffin) หรือ
เก็บบ่มไว้ในภาชนะดินเผาจะมีลักษณะใสไม่มีสี
บรั่นดีและสุราชนิดอื่นๆ เมื่อบรรจุขวดแล้ว
ไม่ว่าจะเก็บไว้นานสักเท่าใด ก็ไม่มีผลทำให้
คุณภาพดีขึ้นไปกว่าก่อนบรรจุขวด
ที่มา :
- หนังสือวิทยาศาสตร์น่ารู้ (ชุดที่1 80เรื่อง) โดย ดร.บุญพฤกษ์ จาฏามระ
- http://us.geocities.com/zoneubon/cocktail.htm
แปลว่า "burnt wine" ซึ่งหมายถึงการให้ความร้อนแก่เหล้าองุ่นเพื่อกลั่น ดังนั้น
บรั่นดีจึงเป็นสุราชนิดแรงที่กลั่นจากเหล้าองุ่น แต่ถ้าเป็นชนิดที่กลั่นจากน้ำผลไม้อื่นๆ
หลังจากการหมักแล้วก็เรียกว่า บรั่นดีผลไม้ (fruit brandy) เช่น apple brandy
ทำจากแอปเปิ้ล peach brandy ทำจากพีช เป็นต้น
คุณภาพของบรั่นดีขึ้นอยู่กับ คุณภาพของเหล้าองุ่นที่นำมากลั่น, กรรมวิธี
ที่ใช้ในการกลั่น, และที่สำคัญที่สุดก็คือการเลือกชนิดไม้ที่ใช้ทำถังเพื่อเก็บบ่มบรั่นดี
หลังจากกลั่นแล้ว ซึ่งการเก็บบ่มสุราไว้ในถังไม้ที่เหมาะสมเป็นเวลานานปี จะเป็นการ
ทำลายสารพิษต่างๆ เช่น fusel oils ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกรรมวิธีการผลิตและเจือปน
อยู่ในสุราให้หมดไปอีกด้วย
บรั่นดีที่นิยมกันว่าเป็นชนิดที่ดีที่สุด คือ บรั่นดีที่ผลิตจากเมืองคอนยัก
(Cognac) และเมืองอาร์มายัก (Armagnac) ประเทศฝรั่งเศส และ
เรียกชื่อบรั่นดีนี้ตามชื่อเมือง บรั่นดีทั้ง 2 ชนิดนี้ผู้ผลิตจะเก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก
เป็นเวลาหลายๆ ปี ส่งผลให้สารแทนนินส์ (tannins) ที่มีอยู่ในเนื้อไม้
ละลายลงไปในบรั่นดีทำให้มีสีเหลืองอำพัน และทำให้มีกลิ่นหอม สำหรับบรั่นดี
ที่มีคุณภาพต่ำนั้น ผู้ผลิตจะเติมสารคาโรเมล (caromel) ลงไป
เพื่อทำให้บรั่นดีมีสีเหลือง และเติมวานิลลา (vanilla) ลงไปเพื่อปรุงกลิ่น
สำหรับบรั่นดีที่เก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก ซึ่งฉาบผิวด้วยขี้ผึ้งพาราฟิน (paraffin) หรือ
เก็บบ่มไว้ในภาชนะดินเผาจะมีลักษณะใสไม่มีสี
บรั่นดีและสุราชนิดอื่นๆ เมื่อบรรจุขวดแล้ว
ไม่ว่าจะเก็บไว้นานสักเท่าใด ก็ไม่มีผลทำให้
คุณภาพดีขึ้นไปกว่าก่อนบรรจุขวด
ที่มา :
- หนังสือวิทยาศาสตร์น่ารู้ (ชุดที่1 80เรื่อง) โดย ดร.บุญพฤกษ์ จาฏามระ
- http://us.geocities.com/zoneubon/cocktail.htm
วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย หรือหลักความเชื่อ 10 ประการ (กาลามสูตร
หลักธรรมในพระพุทธศาสนานี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ ที่อาศัยอยู่
ในเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล เนื่องจากในสมัยนั้นมีผู้อวดอ้างตนในคุณวิเศษกันมาก
เชิดชูแต่ลัทธิของตัว พูดจากระทบกระเทียบดูหมิ่นลัทธิอื่น พร้อมทั้งชักจูงมิให้เชื่อ
ลัทธิอื่น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเกสปุตตนิคมดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้อวดอ้าง
ชาวกาลามะได้ทูลถามด้วยความสงสัยว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ?
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงกาลามสูตร ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย
หรือหลักความเชื่อ 10 ประการ เป็นหลักตัดสิน คือ
1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา
เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ
เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ
ดังนั้น พระสูตรนี้ท่านมิได้ห้ามมิให้เชื่อ แต่ให้เชื่อด้วยมีปัญญาประกอบด้วย
มิฉะนั้นความเชื่อต่างๆ จะไม่พ้น "ความงมงาย" และไม่พึงแปลความเลยเถิดไป
ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อสิ่งเหล่านี้ และให้เชื่อสิ่งอื่นนอกจากนี้
แต่พึงเข้าใจว่า แม้แต่สิ่งเหล่านี้ซึ่งบางอย่างก็เลือกเอามาแล้วว่า..
เป็นสิ่งที่น่าเชื่อที่สุด ท่านก็ยังเตือนไม่ให้ปลงใจเชื่อ
ไม่ให้ด่วนเชื่อ ไม่ให้ถือเป็นเครื่องตัดสินเด็ดขาด
ยังอาจผิดพลาดได้ ต้องใช้ปัญญาคิดพิจารณาให้ดีก่อน
.. แล้วสิ่งอื่น คนอื่นเราจะต้องคิดต้องพิจารณา
ระมัดระวังให้มากสักเพียงไหน??
ที่มา: หนังสือ "พระไตรปิฎก ฉบับดับทุกข์" จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ (หน้า 41-42), หนังสือ "พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน ย่อความจากพระไตรปิกฉบับบาลี 45 เล่ม" (หน้า 510) จัดทำโดย สุชีพ ุญญานุภาพ, หนังสือ "ธรรมาธิบาย หลักธรรมในพระไตรปิฎก" (หน้า 620 - 621) เรียบเรียงโดย อาจารย์ปัญญา ใช้บางยาง และคณะ
ในเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล เนื่องจากในสมัยนั้นมีผู้อวดอ้างตนในคุณวิเศษกันมาก
เชิดชูแต่ลัทธิของตัว พูดจากระทบกระเทียบดูหมิ่นลัทธิอื่น พร้อมทั้งชักจูงมิให้เชื่อ
ลัทธิอื่น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเกสปุตตนิคมดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้อวดอ้าง
ชาวกาลามะได้ทูลถามด้วยความสงสัยว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ?
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงกาลามสูตร ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย
หรือหลักความเชื่อ 10 ประการ เป็นหลักตัดสิน คือ
1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา
เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ
เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ
ดังนั้น พระสูตรนี้ท่านมิได้ห้ามมิให้เชื่อ แต่ให้เชื่อด้วยมีปัญญาประกอบด้วย
มิฉะนั้นความเชื่อต่างๆ จะไม่พ้น "ความงมงาย" และไม่พึงแปลความเลยเถิดไป
ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อสิ่งเหล่านี้ และให้เชื่อสิ่งอื่นนอกจากนี้
แต่พึงเข้าใจว่า แม้แต่สิ่งเหล่านี้ซึ่งบางอย่างก็เลือกเอามาแล้วว่า..
เป็นสิ่งที่น่าเชื่อที่สุด ท่านก็ยังเตือนไม่ให้ปลงใจเชื่อ
ไม่ให้ด่วนเชื่อ ไม่ให้ถือเป็นเครื่องตัดสินเด็ดขาด
ยังอาจผิดพลาดได้ ต้องใช้ปัญญาคิดพิจารณาให้ดีก่อน
.. แล้วสิ่งอื่น คนอื่นเราจะต้องคิดต้องพิจารณา
ระมัดระวังให้มากสักเพียงไหน??
ที่มา: หนังสือ "พระไตรปิฎก ฉบับดับทุกข์" จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ (หน้า 41-42), หนังสือ "พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน ย่อความจากพระไตรปิกฉบับบาลี 45 เล่ม" (หน้า 510) จัดทำโดย สุชีพ ุญญานุภาพ, หนังสือ "ธรรมาธิบาย หลักธรรมในพระไตรปิฎก" (หน้า 620 - 621) เรียบเรียงโดย อาจารย์ปัญญา ใช้บางยาง และคณะ
จากวอลมาร์ท (Walmart) ถึง โลตัส (Lotus)
วอลมาร์ท เป็นชื่อของร้านค้าแนวดิสเคาน์สโตร์สัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งสาขาแรก
ที่มลรัฐอาคันซอ (Arkansas) ในปี พ.ศ. 2505 โดย แซม วอลตัน (Sam
Walton) เพื่อเป็นร้านขายของราคาถูก ปัจจุบันใช้สโลแกนว่า "Save Money
Live Better" แทนสโลแกนเดิม คือ "Always Low Prices, Always"
ซึ่งใช้มาก่อนหน้านี้ 19 ปี
วอลมาร์ทยังเป็น "ต้นแบบ" ของร้านค้าประเภทเดียวกันนี้ เช่น เทสโกโลตัส
และคาร์ฟูร์ ในอดีตโลตัสของซีพีที่เปิดตัวในปี พ.ศ. 2537 ก็ได้นำคนจากวอลมาร์ท
เข้ามาเป็นที่ปรึกษาและวางระบบให้ ในครั้งนั้นวอลมาร์ทเกือบจะเข้ามาขยาย
การลงทุนในไทย แต่ก็เลือกไปที่จีนแทน เพราะเห็นโอกาสทางการตลาดที่ใหญ่กว่า
ภายหลังกลุ่มเทสโก้เข้ามาเทคโอเวอร์โลตัส และเปลี่ยนชื่อเป็น เทสโก้โลตัส
ต่อมาเมื่อมีการร่วมทุนจากต่างประเทศกับกลุ่มค้าปลีกไทยมากขึ้น จึงส่งผลให้
ร้านค้าปลีกในแบบดิสเคาน์สโตร์หรือไฮเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทย
ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าวอลมาร์ทจะไม่มีสาขาในประเทศไทย
แต่ในฐานะที่มียอดขายรวมมากที่สุดในโลก
จึงถือเป็น "เบอร์ 1" และถือเป็น "ตำนาน"
ของร้านค้าปลีกในแนวดิสเคาน์สโตร์
ที่มา : นิตยสาร BrandAge ฉบับเดือนกันยายน
2551, http://learners.in.th/blog/os-pui/16995, http://en.wikipedia.org/wiki/Wal-Mart
ที่มลรัฐอาคันซอ (Arkansas) ในปี พ.ศ. 2505 โดย แซม วอลตัน (Sam
Walton) เพื่อเป็นร้านขายของราคาถูก ปัจจุบันใช้สโลแกนว่า "Save Money
Live Better" แทนสโลแกนเดิม คือ "Always Low Prices, Always"
ซึ่งใช้มาก่อนหน้านี้ 19 ปี
วอลมาร์ทยังเป็น "ต้นแบบ" ของร้านค้าประเภทเดียวกันนี้ เช่น เทสโกโลตัส
และคาร์ฟูร์ ในอดีตโลตัสของซีพีที่เปิดตัวในปี พ.ศ. 2537 ก็ได้นำคนจากวอลมาร์ท
เข้ามาเป็นที่ปรึกษาและวางระบบให้ ในครั้งนั้นวอลมาร์ทเกือบจะเข้ามาขยาย
การลงทุนในไทย แต่ก็เลือกไปที่จีนแทน เพราะเห็นโอกาสทางการตลาดที่ใหญ่กว่า
ภายหลังกลุ่มเทสโก้เข้ามาเทคโอเวอร์โลตัส และเปลี่ยนชื่อเป็น เทสโก้โลตัส
ต่อมาเมื่อมีการร่วมทุนจากต่างประเทศกับกลุ่มค้าปลีกไทยมากขึ้น จึงส่งผลให้
ร้านค้าปลีกในแบบดิสเคาน์สโตร์หรือไฮเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทย
ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าวอลมาร์ทจะไม่มีสาขาในประเทศไทย
แต่ในฐานะที่มียอดขายรวมมากที่สุดในโลก
จึงถือเป็น "เบอร์ 1" และถือเป็น "ตำนาน"
ของร้านค้าปลีกในแนวดิสเคาน์สโตร์
ที่มา : นิตยสาร BrandAge ฉบับเดือนกันยายน
2551, http://learners.in.th/blog/os-pui/16995, http://en.wikipedia.org/wiki/Wal-Mart
ผมหงอก..ยิ่งถอนยิ่งหงอกจริงหรือไม่
ในวัยที่เริ่มมีผมหงอกเรามักจะไม่กล้าถอนกัน เพราะเชื่อว่าเมื่อถอนผมหงอก
เชื้อผมหงอกจะกระจายจากรากผมเส้นที่หงอก แล้วลามไปที่รากผมบริเวณใกล้เคียง
(อย่างกับโรคติดต่อ) จนทำให้ผมหงอกทั้งศรีษะ
แต่ในความเป็นจริงแล้วรากผม 1 เส้น จะสร้างผมได้ 1 เส้น ต่อให้ตัดหรือถอน
ก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมเพิ่มขึ้นได้ เพราะเส้นผมหงอกที่ถูกถอนหนึ่งเส้น
จะไม่สามารถสร้างผมหงอกขึ้นมาได้อีก ดังนั้น การที่ยิ่งถอนยิ่งหงอก
จึงเป็นไม่เป็นความจริง แต่ผมหงอกที่เพิ่มขึ้น เพิ่มจากปัจจัยอื่นต่างหาก
เพื่อเป็นการป้องกันที่สาเหตุ ก่อนที่จะหงอกก่อนวัย เราควรดูแลผมให้ดกดำ
ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น งาดำ เป็นต้น หรือถ้าหงอกมากแล้วไม่สบายใจ
จะพิจารณาเป็นการย้อมผมดำแทนก็ได้ แล้วแต่จะเลือกวิธีการที่สะดวก
และเหมาะกับตนเอง
ที่มา : นิตยสารชีวจิต ปีที่ 11 ฉบับเดือน พ.ย. 2551
เชื้อผมหงอกจะกระจายจากรากผมเส้นที่หงอก แล้วลามไปที่รากผมบริเวณใกล้เคียง
(อย่างกับโรคติดต่อ) จนทำให้ผมหงอกทั้งศรีษะ
แต่ในความเป็นจริงแล้วรากผม 1 เส้น จะสร้างผมได้ 1 เส้น ต่อให้ตัดหรือถอน
ก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมเพิ่มขึ้นได้ เพราะเส้นผมหงอกที่ถูกถอนหนึ่งเส้น
จะไม่สามารถสร้างผมหงอกขึ้นมาได้อีก ดังนั้น การที่ยิ่งถอนยิ่งหงอก
จึงเป็นไม่เป็นความจริง แต่ผมหงอกที่เพิ่มขึ้น เพิ่มจากปัจจัยอื่นต่างหาก
เพื่อเป็นการป้องกันที่สาเหตุ ก่อนที่จะหงอกก่อนวัย เราควรดูแลผมให้ดกดำ
ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น งาดำ เป็นต้น หรือถ้าหงอกมากแล้วไม่สบายใจ
จะพิจารณาเป็นการย้อมผมดำแทนก็ได้ แล้วแต่จะเลือกวิธีการที่สะดวก
และเหมาะกับตนเอง
ที่มา : นิตยสารชีวจิต ปีที่ 11 ฉบับเดือน พ.ย. 2551
ข้อห้ามสำหรับการติดตั้งลูกกรงเหล็กดัด
บ้านหรืออาคารที่มีหน้าต่างเป็นกระจก นิยมติดเหล็กดัดเพื่อป้องกันขโมย
แต่หลายครั้งที่ได้ทราบข่าวเพลิงไหม้ และมีผู้ติดอยู่ภายในไม่สามารถหนีออกมาได้
ก็เนื่องจากติดเหล็กดัด
การติดเหล็กดัดนั้นไม่ใช่สักแต่ว่าติด แต่ทราบหรือไม่ว่า.. พระราชบัญญัติ
ควบคุมอาคาร กฏกระทรวงฉบับที่ 21 ที่เพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ. 2532
มีการออกกฏหมายควบคุมอาคาร (กฏกระทรวงฉบับที่ 21) เมื่อปี 2532 ออกมาว่า อาคารทุกชั้นที่ติดเหล็กดัดจะต้องมีช่องเหล็กดัด ที่สามารถเปิดได้จากข้างใน
ขนาดไม่น้อยกว่า 60x80 ซ.ม. เพื่อเป็นทางหนีไฟ
แม้ว่ากฏหมายนี้จะออกมาหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ ที่โรงงานห้องแถว
ใจกลางเมือง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2531 แล้วมีผู้เสียชีวิตหลายศพ
เพราะไม่อาจหนีออกมาได้เนื่องจากติดเหล็กดัด
แต่ก็ดีกว่าไม่คิดหาทางแก้ไขใดๆ เลย
กฏหมายนั้น ถ้าถูกตราขึ้นจากความเห็นชอบของคนส่วนใหญ่
และบังคับใช้ได้จริง นอกจากจะช่วยให้พวกเราอยู่ร่วมกัน
ในสังคมได้อย่างสงบสุขแล้ว ยังเพื่อความปลอดภัยด้วย
ที่มา : หนังสือ 108 คำถามเรื่องบ้านกับสถาปนิกไทย โดย ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์
แต่หลายครั้งที่ได้ทราบข่าวเพลิงไหม้ และมีผู้ติดอยู่ภายในไม่สามารถหนีออกมาได้
ก็เนื่องจากติดเหล็กดัด
การติดเหล็กดัดนั้นไม่ใช่สักแต่ว่าติด แต่ทราบหรือไม่ว่า.. พระราชบัญญัติ
ควบคุมอาคาร กฏกระทรวงฉบับที่ 21 ที่เพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ. 2532
มีการออกกฏหมายควบคุมอาคาร (กฏกระทรวงฉบับที่ 21) เมื่อปี 2532 ออกมาว่า อาคารทุกชั้นที่ติดเหล็กดัดจะต้องมีช่องเหล็กดัด ที่สามารถเปิดได้จากข้างใน
ขนาดไม่น้อยกว่า 60x80 ซ.ม. เพื่อเป็นทางหนีไฟ
แม้ว่ากฏหมายนี้จะออกมาหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ ที่โรงงานห้องแถว
ใจกลางเมือง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2531 แล้วมีผู้เสียชีวิตหลายศพ
เพราะไม่อาจหนีออกมาได้เนื่องจากติดเหล็กดัด
แต่ก็ดีกว่าไม่คิดหาทางแก้ไขใดๆ เลย
กฏหมายนั้น ถ้าถูกตราขึ้นจากความเห็นชอบของคนส่วนใหญ่
และบังคับใช้ได้จริง นอกจากจะช่วยให้พวกเราอยู่ร่วมกัน
ในสังคมได้อย่างสงบสุขแล้ว ยังเพื่อความปลอดภัยด้วย
ที่มา : หนังสือ 108 คำถามเรื่องบ้านกับสถาปนิกไทย โดย ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์
ความยาวของนิ้วนาง อาจทำนายความสำเร็จของฐานะทางการเงินได้
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ทำการศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง
คือ ชาย 44 คนที่ทำงานเป็นเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญในเมืองลอนดอน และทำรายได้
มากกว่า 4 ล้านยูโร (มากกว่า 200 ล้านบาท) ต่อปี พบว่าเป็นผู้ที่มีนิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้
ปริมาณของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนที่ได้รับขณะอยู่ในครรภ์นั้น มีผลกับลักษณะ
เฉพาะตัวบุคคลบางอย่าง เช่น ความมั่นใจ, ความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยง,
ความรอบคอบเป็นพิเศษ, ปฏิกริยาโต้ตอบที่รวดเร็ว และ จึงเป็นเหตุผลสนับสนุน
ว่าผู้ที่มีนิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้นั้น จะประสบความสำเร็จในการหาเงินได้มากกว่า
แม้ว่า.. ผู้ที่มีนิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้นั้นมีแนวโน้มหารายได้เข้ากระเป๋าได้เก่งกว่า
แต่ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการทำงานด้วย เปรียบเหมือนการมีพรสวรรค์มากกว่า
ไม่ได้แปลว่าจะต้องประสบความสำเร็จเหนือกว่าผู้ที่ฝึกฝนมากกว่าเสมอไป
ที่มา : นิตยสาร Lisa Vol.10 No.4, http://www.pnas.org/content/106/2/623,
http://www.telegraph.co.uk/scienceandtechnology/science/sciencenews/4223545/Ring-finger-length-linked-to-City-stockbrokers-success-claim-scientists.html
คือ ชาย 44 คนที่ทำงานเป็นเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญในเมืองลอนดอน และทำรายได้
มากกว่า 4 ล้านยูโร (มากกว่า 200 ล้านบาท) ต่อปี พบว่าเป็นผู้ที่มีนิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้
ปริมาณของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนที่ได้รับขณะอยู่ในครรภ์นั้น มีผลกับลักษณะ
เฉพาะตัวบุคคลบางอย่าง เช่น ความมั่นใจ, ความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยง,
ความรอบคอบเป็นพิเศษ, ปฏิกริยาโต้ตอบที่รวดเร็ว และ จึงเป็นเหตุผลสนับสนุน
ว่าผู้ที่มีนิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้นั้น จะประสบความสำเร็จในการหาเงินได้มากกว่า
แม้ว่า.. ผู้ที่มีนิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้นั้นมีแนวโน้มหารายได้เข้ากระเป๋าได้เก่งกว่า
แต่ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการทำงานด้วย เปรียบเหมือนการมีพรสวรรค์มากกว่า
ไม่ได้แปลว่าจะต้องประสบความสำเร็จเหนือกว่าผู้ที่ฝึกฝนมากกว่าเสมอไป
ที่มา : นิตยสาร Lisa Vol.10 No.4, http://www.pnas.org/content/106/2/623,
http://www.telegraph.co.uk/scienceandtechnology/science/sciencenews/4223545/Ring-finger-length-linked-to-City-stockbrokers-success-claim-scientists.html
เด็กไม่เอาถ่าน คำนี้มีที่มาจากอะไร?
เด็กที่วันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่านหนังสือเรียน การบ้านก็ไม่ทำ งานบ้านก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทานอาหารแล้วไม่รู้จักล้างจานชาม เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างพฤติกรรมของ "เด็กไม่เอาถ่าน"
ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8%
ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"
ที่มา : หนังสือ ภาษาคาใจ ภาค 3 ถอดรหัสภาษาไทยที่ยัง 'ค้างคาใจ' เขียนโดย สังคีต จันทนะโพธิ
ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8%
ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"
ที่มา : หนังสือ ภาษาคาใจ ภาค 3 ถอดรหัสภาษาไทยที่ยัง 'ค้างคาใจ' เขียนโดย สังคีต จันทนะโพธิ
วิทยาศาสตร์บนไม้กวาดของแฮร์รี่ พอตเตอร์ (Harry Potter)
แฮร์รี่ พอตเตอร์ขึ้นบินครั้งแรกด้วยไม้กวาดของโรงเรียนฮอกวอตส์ในวิชาฝึกบินของมาดามฮูช แต่ไม้กวาดด้ามแรกที่เป็นของเขาเอง คือ "นิมบัสสองพัน" ส่วนไม้กวาดด้ามที่ 2 ของเขา คือ "ไฟร์โบลต์" ซึ่งทำความเร็วได้สูงสุดถึง 240 ก.ม./ช.ม. และสำหรับแฟนๆ ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าฉากควิดดิช เกมส์กีฬาของเหล่าพ่อมดแม่มดที่ใช้ไม้กวาดเป็นพาหนะนั้น เป็นฉากที่ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แล้วมันจะมีโอกาสเป็นความจริงได้บ้างหรือไม่?
จากหลักการในหนังสือ "วิทยาศาสตร์ในแฮร์รี่พอตเตอร์" (The Science of Harry Potter) ของ Roger Highfield อธิบาย ดังนี้
คนที่สามารถล่องลอยบนอากาศได้ ต้องขึ้นอยู่กับการเอาชนะแรงโน้มถ่วงด้วยการสร้างพลังแม่เหล็กที่สมบูรณ์ ดังที่ Andre Geim จากฮอลแลนด์ ได้ทดลองยกกบตัวเล็กให้ลอยกลางอากาศ ด้วยพลังแม่เหล็กจากการใช้รูปแบบของสภาวะแม่เหล็ก ที่เรียกว่า Diamagnetism (วัตถุที่เมื่อนำแม่เหล็กเข้าใกล้ จะเกิดแรงผลักอ่อนๆ ออกนอกสนามแม่เหล็ก เมื่อนำแม่เหล็กออกไป คุณสมบัติแม่เหล็กนี้ก็หายไปด้วย)
การยกกบให้ลอยขึ้นสูงสองเมตรในกระบอกทดลอง ต้องใช้สนามแม่เหล็กที่มีกำลังสูงกว่าสนามแม่เหล็กธรรมชาติของโลกถึง 1 แสนเท่า และสูงกว่าแม่เหล็กติดตู้เย็นประมาณ 10 ถึง 100 เท่า แต่ปัญหาคือ ร่างกายมีคุณสมบัติทางแม่เหล็กไม่สม่ำเสมอทั่วร่างกาย เนื้อหลังกับกระดูกจึงถูกดึงขึ้นและรั้งลงไปทั่วร่างกาย ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ดังนั้น หากยังไม่มีทฤษฎีอื่นมารองรับ หรือวิทยาการที่ก้าวไกลมากขึ้น
อย่าเพิ่งทดลองบินด้วยทฤษฎีนี้จะดีกว่า
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 13 ก.ค. 2552
จากหลักการในหนังสือ "วิทยาศาสตร์ในแฮร์รี่พอตเตอร์" (The Science of Harry Potter) ของ Roger Highfield อธิบาย ดังนี้
คนที่สามารถล่องลอยบนอากาศได้ ต้องขึ้นอยู่กับการเอาชนะแรงโน้มถ่วงด้วยการสร้างพลังแม่เหล็กที่สมบูรณ์ ดังที่ Andre Geim จากฮอลแลนด์ ได้ทดลองยกกบตัวเล็กให้ลอยกลางอากาศ ด้วยพลังแม่เหล็กจากการใช้รูปแบบของสภาวะแม่เหล็ก ที่เรียกว่า Diamagnetism (วัตถุที่เมื่อนำแม่เหล็กเข้าใกล้ จะเกิดแรงผลักอ่อนๆ ออกนอกสนามแม่เหล็ก เมื่อนำแม่เหล็กออกไป คุณสมบัติแม่เหล็กนี้ก็หายไปด้วย)
การยกกบให้ลอยขึ้นสูงสองเมตรในกระบอกทดลอง ต้องใช้สนามแม่เหล็กที่มีกำลังสูงกว่าสนามแม่เหล็กธรรมชาติของโลกถึง 1 แสนเท่า และสูงกว่าแม่เหล็กติดตู้เย็นประมาณ 10 ถึง 100 เท่า แต่ปัญหาคือ ร่างกายมีคุณสมบัติทางแม่เหล็กไม่สม่ำเสมอทั่วร่างกาย เนื้อหลังกับกระดูกจึงถูกดึงขึ้นและรั้งลงไปทั่วร่างกาย ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ดังนั้น หากยังไม่มีทฤษฎีอื่นมารองรับ หรือวิทยาการที่ก้าวไกลมากขึ้น
อย่าเพิ่งทดลองบินด้วยทฤษฎีนี้จะดีกว่า
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 13 ก.ค. 2552
น้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ
ปัญหากลิ่นปากเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้เสียบุคลิกภาพ และแสดงถึงปัญหา
สุขภาพในช่องปากอีกด้วย การแก้ไขด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปากบางชนิด ที่มีส่วนผสม
ของแอลกอฮอล์เกินมาตรฐาน (เข้มข้นมากกว่า 26%) ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมะเร็ง
บริเวณศรีษะ และลำคอ
การดับกลิ่นปากด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
ขอแนะนำ 2 สูตรน้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ ดังนี้
1. ขิง และมะนาว
ใช้น้ำขิงสด 1 ช้อนชา, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำอุ่น 1 แก้ว
ผสมให้เข้ากัน ใช้กลั้วปากวันละ 1 ครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า
2. ใบฝรั่ง
ล้างใบฝรั่งให้สะอาด นำมาหรือตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำเกลือ 0.9%(หาซื้อได้
ตามร้านขายยาทั่วไป) แช่ไว้ 10-15 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ เก็บไว้ใช้บ้วนปาก
แม้จะมีส่วนผสมที่หาได้ง่าย และทำเองไม่ยาก แต่การแก้ที่ต้นตอของปัญหา
ที่แท้จริง คือ การดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี ด้วยการทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ
และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเป็นการช่วยให้สุขภาพดีจากภายใน
อย่างแท้จริง
ที่มา : นิตยสารชีวจิต ปีที่ 11 ฉบับ 1 มีนาคม 2552, Mouthwash 'can cause oral cancer' - http://www.lib.ru.ac.th/miscell/health/healthnews/4223380/Mouthwash-can-cause-oral-cancer.html, มาทำน้ำยาบ้วนปากใบฝรั่ง ดับกลิ่นปากกันดีกว่า - http://thaihof.log.in.th/articlematichon/มาทำน้ำยาบ้วนปากใบฝรั่ง-ดับกลิ่นปากกันดีกว่า
ภาพ : ขิง - http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Gingembre.jpg,
มะนาว - http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Citrus_lime.png,
ฝรั่ง - http://th.wikipedia.org/wiki/ฝรั่ง
สุขภาพในช่องปากอีกด้วย การแก้ไขด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปากบางชนิด ที่มีส่วนผสม
ของแอลกอฮอล์เกินมาตรฐาน (เข้มข้นมากกว่า 26%) ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมะเร็ง
บริเวณศรีษะ และลำคอ
การดับกลิ่นปากด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
ขอแนะนำ 2 สูตรน้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ ดังนี้
1. ขิง และมะนาว
ใช้น้ำขิงสด 1 ช้อนชา, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำอุ่น 1 แก้ว
ผสมให้เข้ากัน ใช้กลั้วปากวันละ 1 ครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า
2. ใบฝรั่ง
ล้างใบฝรั่งให้สะอาด นำมาหรือตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำเกลือ 0.9%(หาซื้อได้
ตามร้านขายยาทั่วไป) แช่ไว้ 10-15 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ เก็บไว้ใช้บ้วนปาก
แม้จะมีส่วนผสมที่หาได้ง่าย และทำเองไม่ยาก แต่การแก้ที่ต้นตอของปัญหา
ที่แท้จริง คือ การดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี ด้วยการทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ
และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเป็นการช่วยให้สุขภาพดีจากภายใน
อย่างแท้จริง
ภาพ : ขิง - http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Gingembre.jpg,
มะนาว - http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Citrus_lime.png,
ฝรั่ง - http://th.wikipedia.org/wiki/ฝรั่ง
ผู้ค้นพบรูทเบียร์ (Root beer) ชาร์ลส์ เอลเมอร์ ไฮร์ส
รูทเบียร์ เป็นเครื่องดื่มประเภทซอฟท์ดริงก์ หรือ เครื่องดื่มที่ปราศจากแอลกอฮอล์ และเป็นผลงานการทดลองวิทยาศาสตร์ของ "ชาร์ลส์ เอลเมอร์ ไฮร์ส" (Charles Elmer Hires) เภสัชกรชาวเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2394 เขาทำงานและศึกษาด้านเภสัชกรรมมาตั้งแต่อายุ12 ปี
เดิมทีผลงานการทดลองวิทยาศาสตร์นี้ เขาต้องการทดลองเพื่อให้ได้ยาที่เขาต้องการ ด้วยการหมักผลเบอร์รีกับสมุนไพรต่างๆ แต่ผลกลับปรากฏว่าได้น้ำรูทเบียร์แทน โดยเขานำมาจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2412 และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในเวลาต่อมา
ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
รูทเบียร์ได้รับความนิยมอันดับเป็นอันดับหนึ่ง แม้ในงานสังสรรค์รื่นเริงของเกษตรกร ชาวไร ชาวนา ในสหรัฐอเมริกา ที่นิยมนำเครื่องดื่มมาร่วมกันนั้น รูทเบียร์ก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว
ที่มา : หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ฉบับวันที่ 9 มิ.ย. 2552
เดิมทีผลงานการทดลองวิทยาศาสตร์นี้ เขาต้องการทดลองเพื่อให้ได้ยาที่เขาต้องการ ด้วยการหมักผลเบอร์รีกับสมุนไพรต่างๆ แต่ผลกลับปรากฏว่าได้น้ำรูทเบียร์แทน โดยเขานำมาจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2412 และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในเวลาต่อมา
ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
รูทเบียร์ได้รับความนิยมอันดับเป็นอันดับหนึ่ง แม้ในงานสังสรรค์รื่นเริงของเกษตรกร ชาวไร ชาวนา ในสหรัฐอเมริกา ที่นิยมนำเครื่องดื่มมาร่วมกันนั้น รูทเบียร์ก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว
ที่มา : หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ฉบับวันที่ 9 มิ.ย. 2552
ชาเขียว อาจจะส่งเสริมสุขภาพของกระดูก
ชาเขียวนั้นนอกจากช่วยป้องกันโรคหัวใจ และโรคมะเร็งแล้ว งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในฮ่องกง ที่ศึกษาจากสารคาเทชิน (catechins) 3 อย่างจากชาเขียว คือ epigallocatechin (EGC), gallocatechin (GC) และ gallate gallocatechin (GCG) พบว่า epigallocatechin (EGC) นั้นสามารถส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกได้ถึง 79% และไม่มีอันตรายใดๆ ต่อกระดูก
ดังนั้น ชาเขียวอาจจะช่วยส่งเสริมสุขภาพของกระดูก เช่น ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน หรือโรคทางกระดูกอื่นๆ ได้ด้วย
ที่มา : คอลัมน์ health news นิตยสาร Lisa Vol.10 No.40 หน้า 68, Effects of Tea Catechins, Epigallocatechin, Gallocatechin, and Gallocatechin Gallate, on Bone Metabolism - http://pubs.acs.org/stoken/presspac/presspac/full/10.1021/jf901545u
ดังนั้น ชาเขียวอาจจะช่วยส่งเสริมสุขภาพของกระดูก เช่น ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน หรือโรคทางกระดูกอื่นๆ ได้ด้วย
ความเข้าใจผิดเรื่องคอเรสเตอรอลกับกะทิ ถั่ว และไขมันจากพืช
คนส่วนมากมักเข้าใจว่า กะทิ และถั่ว มีคอเลสเตอรอลสูง แต่ความจริงแล้ว อาหาร
จากพืชนั้นไม่มีคอเลสเตอรอล คอเลสเตอรอลมากับอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น
ฉลากอาหารข้างบรรจุภัณฑ์ เช่น ข้างขวดน้ำมันพืชยี่ห้อต่างๆ หรืออาหารแปรรูป
ที่มาจากพืช มักเขียนว่า "ไม่มีคอเลสเตอรอล" นั่นไม่ใช่ความผิด ไม่ได้หลอกลวง
และไม่ได้โกหก แต่เป็นกลยุทธ์การโฆษณา ที่อาจส่งผลให้ผู้บริโภค
เกิดความเข้าใจผิดว่า น้ำมันพืชยี่ห้ออื่นหรืออาหารประเภทเดียวกัน
แต่คนละยี่ห้อมีคอเลสเตอรอล
ดังนั้น เพื่อความแน่นอน หากต้องการทราบว่าอาหารนั้น
มีคอเลสเตอรอลหรือไม่ และให้สารอาหารอะไรบ้าง
ควรอ่านฉลากโภชนาการที่ติดอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์
จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยกลยุทธ์ในการโฆษณา
ที่มา : หนังสือ อาหารบำบัดโรค โดย ศัลยา คงสมบูรณ์
จากพืชนั้นไม่มีคอเลสเตอรอล คอเลสเตอรอลมากับอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น
ฉลากอาหารข้างบรรจุภัณฑ์ เช่น ข้างขวดน้ำมันพืชยี่ห้อต่างๆ หรืออาหารแปรรูป
ที่มาจากพืช มักเขียนว่า "ไม่มีคอเลสเตอรอล" นั่นไม่ใช่ความผิด ไม่ได้หลอกลวง
และไม่ได้โกหก แต่เป็นกลยุทธ์การโฆษณา ที่อาจส่งผลให้ผู้บริโภค
เกิดความเข้าใจผิดว่า น้ำมันพืชยี่ห้ออื่นหรืออาหารประเภทเดียวกัน
แต่คนละยี่ห้อมีคอเลสเตอรอล
ดังนั้น เพื่อความแน่นอน หากต้องการทราบว่าอาหารนั้น
มีคอเลสเตอรอลหรือไม่ และให้สารอาหารอะไรบ้าง
ควรอ่านฉลากโภชนาการที่ติดอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์
จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยกลยุทธ์ในการโฆษณา
ที่มา : หนังสือ อาหารบำบัดโรค โดย ศัลยา คงสมบูรณ์
ปรุงเนื้อด้วยเครื่องเทศ ป้องกันมะเร็งได้
เนื้อสัตว์ที่ประกอบอาหารด้วยการผ่านความร้อน เช่น อบ ย่าง ต้ม หรือทอด
จะมีสาร Heterocyclic Animes (HCAs) ส่งผลให้ผู้รับประทาน
เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ กระเพาะ ปอด ตับอ่อน เต้านม และต่อมลูกหมาก
มากน้อยแตกต่างกันไปตามลักษณะของการให้ความร้อน
สาร HCAs ลดลงได้ด้วยเครื่องเทศที่ใช้ในการประกอบอาหาร เนื่องจากงานวิจัย
ของ J. Scott Smith ศาสตราจารย์ทางเคมีอาหาร จากมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส
(Kansas) ที่ทำการวิจัยกับเครื่องเทศ 6 ชนิด คือ ยี่หร่า, เมล็ดผักชี, ข่า, กระชาย,
โรสแมรี่ และขมิ้น พบว่ามีระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้สูง
ในกระชาย โรสแมรี่ และขมิ้น และสูงที่สุดในโรสแมรี่
งานวิจัยก่อนหน้านี้ยังระบุด้วยว่า เครื่องเทศไทย และเครื่องเทศอื่นๆ เช่น อบเชย
ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้เช่นกัน แต่มีระดับมากน้อยแตกต่างกัน
ตามชนิดของเครื่องเทศ
แม้ว่าการประกอบอาหารเนื้อสัตว์ ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า 177.78 องศาเซลเซียส
ไม่เกิน 4 นาที จะพบ HCAs น้อยมากหรือไม่พบเลย แต่ในความเป็นจริงการทำ
อาหาร 1 จาน มักใช้เวลามากกว่า 4 นาที ดังนั้น เมื่อต้องประกอบอาหารเนื้อสัตว์
หากต้องการลดความเสี่ยงในการเพิ่ม HCAs ควรใส่เครื่องเทศลงในเมนูทุกครั้ง
จะมีสาร Heterocyclic Animes (HCAs) ส่งผลให้ผู้รับประทาน
เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ กระเพาะ ปอด ตับอ่อน เต้านม และต่อมลูกหมาก
มากน้อยแตกต่างกันไปตามลักษณะของการให้ความร้อน
สาร HCAs ลดลงได้ด้วยเครื่องเทศที่ใช้ในการประกอบอาหาร เนื่องจากงานวิจัย
ของ J. Scott Smith ศาสตราจารย์ทางเคมีอาหาร จากมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส
(Kansas) ที่ทำการวิจัยกับเครื่องเทศ 6 ชนิด คือ ยี่หร่า, เมล็ดผักชี, ข่า, กระชาย,
โรสแมรี่ และขมิ้น พบว่ามีระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้สูง
ในกระชาย โรสแมรี่ และขมิ้น และสูงที่สุดในโรสแมรี่
งานวิจัยก่อนหน้านี้ยังระบุด้วยว่า เครื่องเทศไทย และเครื่องเทศอื่นๆ เช่น อบเชย
ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้เช่นกัน แต่มีระดับมากน้อยแตกต่างกัน
ตามชนิดของเครื่องเทศ
แม้ว่าการประกอบอาหารเนื้อสัตว์ ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า 177.78 องศาเซลเซียส
ไม่เกิน 4 นาที จะพบ HCAs น้อยมากหรือไม่พบเลย แต่ในความเป็นจริงการทำ
อาหาร 1 จาน มักใช้เวลามากกว่า 4 นาที ดังนั้น เมื่อต้องประกอบอาหารเนื้อสัตว์
หากต้องการลดความเสี่ยงในการเพิ่ม HCAs ควรใส่เครื่องเทศลงในเมนูทุกครั้ง
ที่มาของชื่อ ปลั๊กสามตา
เต้ารับ (Socket-outlet หรือ Receptacle) หรือปลั๊กตัวเมีย คือ
ขั้วรับสำหรับหัวเสียบจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ปกติเต้ารับจะติดตั้งอยู่กับที่ เช่น
ติดอยู่กับผนังอาคาร อาจมีทั้งแบบ 2 รู หรือ 3 รู
เต้าเสียบ (Plug) หรือปลั๊กตัวผู้ คือ ขั้วหรือหัวเสียบที่มีสายไฟติดอยู่กับ
เครื่องใช้ไฟฟ้า มีขาโลหะยื่นออกมา 2 ขา หรือ 3 ขา เพื่อเสียบเข้ากับเต้ารับ
ทำให้สามารถใช้เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นได้
ส่วน ปลั๊กสามตา มีคำเรียกอย่างเป็นทางการว่า "รางเต้ารับ" หรือ "เต้ารับ
ที่ทำเป็นชุด" ในภาษาอังกฤษเรียก Extension Socket ในอดีตที่ติดตลาด
ได้รับความนิยม และเห็นบ่อยที่สุด คือ แบบตลับกลมๆ หมุนเก็บสายไฟ
ไว้ด้านในได้ และมีช่องเสียบปลั๊กแบบ 2 ขา อยู่ทั้งหมด 3 ช่อง จึงทำให้นิยม
เรียกกันว่า "ปลั๊กสามตา"
ปัจจุบันปลั๊กสามตาพัฒนารูปลักษณ์ทันสมัยขึ้น พร้อมเพิ่มช่องเสียบเป็น 4 ช่อง
หรือ 6 ช่อง มีให้เลือกหลายรูปแบบ หลายราคา แต่ยังนิยมเรียกชื่อเดิม
ซึ่งในการเลือกซื้อควรเลือกที่ได้มาตรฐาน มอก. 166/2549 มีสปริงของเต้ารับ
(หรือตัวล็อกขาเต้าเสียบ) ทำจากทองเหลือง ตัวกล่องฉนวนทำจากพลาสติก ABS
และมีระบบตัดไฟอัติโนมัติ หรือมีฟิวส์ในตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิด
เพลิงไหม้ในกรณีไฟฟ้าลัดวงจร
ขั้วรับสำหรับหัวเสียบจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ปกติเต้ารับจะติดตั้งอยู่กับที่ เช่น
ติดอยู่กับผนังอาคาร อาจมีทั้งแบบ 2 รู หรือ 3 รู
เต้าเสียบ (Plug) หรือปลั๊กตัวผู้ คือ ขั้วหรือหัวเสียบที่มีสายไฟติดอยู่กับ
เครื่องใช้ไฟฟ้า มีขาโลหะยื่นออกมา 2 ขา หรือ 3 ขา เพื่อเสียบเข้ากับเต้ารับ
ทำให้สามารถใช้เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นได้
ส่วน ปลั๊กสามตา มีคำเรียกอย่างเป็นทางการว่า "รางเต้ารับ" หรือ "เต้ารับ
ที่ทำเป็นชุด" ในภาษาอังกฤษเรียก Extension Socket ในอดีตที่ติดตลาด
ได้รับความนิยม และเห็นบ่อยที่สุด คือ แบบตลับกลมๆ หมุนเก็บสายไฟ
ไว้ด้านในได้ และมีช่องเสียบปลั๊กแบบ 2 ขา อยู่ทั้งหมด 3 ช่อง จึงทำให้นิยม
เรียกกันว่า "ปลั๊กสามตา"
ปัจจุบันปลั๊กสามตาพัฒนารูปลักษณ์ทันสมัยขึ้น พร้อมเพิ่มช่องเสียบเป็น 4 ช่อง
หรือ 6 ช่อง มีให้เลือกหลายรูปแบบ หลายราคา แต่ยังนิยมเรียกชื่อเดิม
ซึ่งในการเลือกซื้อควรเลือกที่ได้มาตรฐาน มอก. 166/2549 มีสปริงของเต้ารับ
(หรือตัวล็อกขาเต้าเสียบ) ทำจากทองเหลือง ตัวกล่องฉนวนทำจากพลาสติก ABS
และมีระบบตัดไฟอัติโนมัติ หรือมีฟิวส์ในตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิด
เพลิงไหม้ในกรณีไฟฟ้าลัดวงจร
กางเกงชั้นในสีแดงช่วยส่งเสริมสุขภาพจริงหรือ?
ผิวหนังของเราถือเป็นดวงตาคู่ที่สอง เพราะ ในผิวหนังมีอวัยวะที่ทำหน้าที่เป็นตา
ในการรับสัมผัสอยู่ โดยอวัยวะนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวเซ็นเซอร์แสง ดังนั้น
แม้ว่าตาจะปิดอยู่ เราก็สามารถรู้สึกถึงสีได้จากความยาวคลื่นของสี
สีที่มีความยาวคลื่นสูงที่สุด คือ สีแดง จึงกล่าวกันว่า สีแดงสามารถกระตุ้น
การทำงานภายในร่ายกาย ทำให้ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ
และอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น
ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ใส่กางเกงชั้นในสีแดงตัวใหญ่ หรือผ้าคาดเอวสีแดงปิดสะดือ
จะช่วยให้มีสุขภาพดี เนื่องจากบริเวณใต้สะดือลงไปประมาณ 5 ซ.ม.
มีจุดที่เรียกว่า Tanden (จุดตันเถียน) ซึ่งทางการแพทย์ตะวันออกถือเป็น
จุดสำคัญที่เป็นจุดกำเนิดของ "จิตวิญญาณ" ซึ่งเป็นพลังแห่งชีวิต
เมื่อกระตุ้นบริเวณดังกล่าว ด้วยการห่มผ้าสีแดง จะทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ร่างกายอบอุ่น ลดอาการหนาวสั่น ลดอาการปวดหลัง-ปวดไหล่ ช่วยฟื้นฟู
ความเหน็ดเหนื่อย กระฉับกระเฉงขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ คลายเครียด
ช่วยให้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือปวดประจำเดือนดีขึ้น
รวมถึงมีพลังเพิ่มขึ้นด้วย
แต่มีข้อควรระวัง คือ เมื่อใส่กางเกงในสีแดงแล้ว บางคน
จะรู้สึกตื่นตัวจนนอนไม่หลับ หรือมีความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงจึงควรระมัดระวัง
ในการรับสัมผัสอยู่ โดยอวัยวะนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวเซ็นเซอร์แสง ดังนั้น
แม้ว่าตาจะปิดอยู่ เราก็สามารถรู้สึกถึงสีได้จากความยาวคลื่นของสี
สีที่มีความยาวคลื่นสูงที่สุด คือ สีแดง จึงกล่าวกันว่า สีแดงสามารถกระตุ้น
การทำงานภายในร่ายกาย ทำให้ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ
และอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น
ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ใส่กางเกงชั้นในสีแดงตัวใหญ่ หรือผ้าคาดเอวสีแดงปิดสะดือ
จะช่วยให้มีสุขภาพดี เนื่องจากบริเวณใต้สะดือลงไปประมาณ 5 ซ.ม.
มีจุดที่เรียกว่า Tanden (จุดตันเถียน) ซึ่งทางการแพทย์ตะวันออกถือเป็น
จุดสำคัญที่เป็นจุดกำเนิดของ "จิตวิญญาณ" ซึ่งเป็นพลังแห่งชีวิต
เมื่อกระตุ้นบริเวณดังกล่าว ด้วยการห่มผ้าสีแดง จะทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ร่างกายอบอุ่น ลดอาการหนาวสั่น ลดอาการปวดหลัง-ปวดไหล่ ช่วยฟื้นฟู
ความเหน็ดเหนื่อย กระฉับกระเฉงขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ คลายเครียด
ช่วยให้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือปวดประจำเดือนดีขึ้น
รวมถึงมีพลังเพิ่มขึ้นด้วย
แต่มีข้อควรระวัง คือ เมื่อใส่กางเกงในสีแดงแล้ว บางคน
จะรู้สึกตื่นตัวจนนอนไม่หลับ หรือมีความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงจึงควรระมัดระวัง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)